เมื่อ 2 หนุ่มคู่ซี้ “ก้อง ห้วยไร่” และ “เบิ้ล ปทุมราช” โคจรมาเจอกัน ในรายการ “เบิ้ล AM” บอกเลยว่าสัปดาห์นี้ฮากระจาย พร้อมติดเครื่องด่ากลางรายการ เล่าถึงวีรกรรมได้รับของแปลกบนเวทีจากแฟนคลับ เผยจุดเริ่มต้นที่รู้จักกันความรักความผูกพันแบบพี่น้อง จนถึงการรับงานคู่ดูโอ และบทบาทนักแสดงในภาพยนตร์ “ปะฉะดะ” ตอบคำถามถ้าหากวันหนึ่งไม่มีชื่อเสียงแล้วจะทำอย่างไรกับชีวิต
ปัจจุบันพี่ก้องอายุเท่าไหร่ครับ เป็นเพื่อนกับ เบิ้ล ปทุมราช ?
ก้อง ห้วยไร่ : 37 ปี ครับ เป็นเพื่อนสนิทกันครับ
ของแปลกที่สุดที่เคยได้รับมาบนเวทีจากแฟนคลับคืออะไร ?
ก้อง ห้วยไร่ : แปลกไหม ผมมองว่าละเอียดอ่อนกับความรู้สึกเรามากกว่า
คิดเห็นยังไงกับการที่คนเอาเงินปลอมมาให้ ?
ก้อง ห้วยไร่ : เงินปลอมไม่เท่าไหร่นะ แต่ถ้าเป็นสิ่งมีชีวิตพี่รู้สึกสงสารเขา ถึงแม้เขาจะรับรู้หรือไม่รับรู้ก็ตาม หมา แมว พี่ส่งคืนเลยทันที รับให้หน้าเวที อย่าเอามาเลยหน้าเวทีมันอาจจะได้คอนเทนส์สนุกสนานแต่ว่าสภาพจิตใจพี่แย่มากเลยนะ ก็แกล้งสนุกไปกับพวกเราอย่างนั้นแหล่ะ กลัวพวกเราเสียหน้า เวลาเอาไก่ชนมาให้พี่แบบนี้เอา วัว หมา แมว เป็ด ปลาคราฟ อย่างงี้
เคยมีไหมเขาเอาปลาช่อนมาให้แล้วเอาไปผัดเผ็ด ?
ก้อง ห้วยไร่ : ไม่เคย (หัวเราะ) เอาไปปล่อย
สุดท้ายอยากจะบอกว่า บางสิ่งบางอย่างเรารู้ว่ามันเป็นคอนเทนส์ไม่ใช่ความจริง ก็ไม่ได้อยากให้ทุกคนดราม่า
ก้อง ห้วยไร่ : ดราม่าเลยเชิญเอารถทัวร์มาลง รถทัวร์มาลงปั๊บก็จะขึ้นไปร้องคาราโอเกะ เอาผมไม่ลงหรอกขนาดนี้ ขนาดลิฟต์ถ้าผมไม่กดเองยังเอาผมไม่ลงเลย เพราะผมของจริง (หัวเราะ)
มีช่วงหนึ่งที่ผมตัดสินใจว่าจะมา อาร์สยาม หรือจะอยู่กับ ก้อง ห้วยไร่ ?
ก้อง ห้วยไร่ : ได้ยินเขาร้องเพลงผ่านสื่อในโซเชียล แล้วก็รู้สึกว่าเด็กคนนี้มีศักยภาพทั้งหน้าตาและความสามารถจะไปต่อได้ ในจุดที่เราอยู่ตอนนั้นเพลง ไสว่าสิบ่ถิ่มกัน เริ่มมีคนรู้จักแล้ว เลยอยากจะชวน เบิ้ลมาอยู่ด้วย แต่เบิ้ลบอกว่าขอตัดสินใจก่อน แล้วตอนนั้นก็มีค่ายมาทาบทามเบิ้ลด้วย เรายังไม่รู้ว่าเบิ้ลจะตัดสินใจยังไง
เบิ้ล ปทุมราช : ผมคิดอยู่ 2 อย่างคือถ้าไปอยู่กับพี่เราจะเป็นครอบครัวเดียวกัน แต่ถ้าผมไปอยู่อีกค่ายอาร์สยามเราจะเป็นคู่แข่ง ผมก็เลยอยากจะเป็นคู่แข่งของพี่ ซึ่งคู่แข่งในที่นี่ไม่ใช่การอยากเอาชนะ ถ้าเราไปอยู่กับเขาเราจะเป็นร่มเงาของเขาตลอดชีวิต เราจะไม่มีวันเป็นตัวของตัวเอง เพราะผมจะเห็น ก้อง ห้วยไร่ เป็นไอดอลตลอดชีวิต แต่ที่ผมตัดสินใจออกไป ถ้าเกิดวันหนึ่งผมดังได้กลับมาเจอกัน เราจะเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน แต่จะเป็นคู่แข่งเพื่อพัฒนาศักยภาพ ถ้าผมไปอยู่กับพี่ก้องตั้งแต่แรกก็ไม่รู้ว่าผมในวันนี้จะเป็นแบบไหน อาจจะมีปัญหาแล้วแยกออกจากกันอีกก็ได้
ก้อง ห้วยไร่ : ถ้าเบิ้ลตัดสินใจไปอยู่กับผมตั้งแต่ตอนนั้นก็อาจจะไม่ได้เป็นนักร้องที่มีศักยภาพที่ชัดเจนขนาดนี้ เพราะสุดท้ายแล้วค่ายเพลงค่ายหนึ่งมันไม่สามารถที่จะชูโรงได้ทุกคน ก็ต้องมีเบอร์หนึ่งอยู่แล้ว เป็นการตัดสินใจที่ดี
มีคนถามว่าทำไมเราถึงสนิทกัน ?
เบิ้ล ปทุมราช : มันเป็นเรื่องราวสตอรี่มานานมาก อยากขอบคุณพี่ก้องนะครับ ที่เป็นเพื่อนที่ดี
ก้อง ห้วยไร่ : ใครเพื่อนแก ตีปากนะ เกิดรุ่นน้องเป็น 10 ปี
จุดกำเนิดของการเป็นดูโอในคอนเสิร์ต เบิ้ล – ก้อง ?
เบิ้ล ปทุมราช : ปัจจัยหลักคือ ผมบอกกับพี่ก้องว่าถ้าผมอยากสนับสนุนใครสักคนในชีวิตหรืออยากออกงานด้วยกันมันต้องเป็นพี่ก้องและผมไม่มีวันทะเลาะกับคนนี้ เพราะผู้ชายคนนี้ทำให้ผมรู้สึกว่าเวลาอยู่ใกล้เขา เหมือนเป็นกระจกที่ดี
ก้อง ห้วยไร่ : คือเราเอาความจริงคุยกันแหล่ะง่ายสุด
เบิ้ล ปทุมราช : แล้วสุดท้ายอยากจะบอก ก้อง ห้วยไร่ ว่ามันแบบนี้ได้ไงว่ะ (หัวเราะ)
ก้อง ห้วยไร่ : คือมีไม่กี่คนนะครับในชีวิตเรา ไม่ว่าจะเป็นผัวเมียก็ตามบางทีมันไม่กล้าเป็นกระจกให้กันและกัน กระจกคือการพูดความจริง เวลาส่องความเป็นจริงให้ใครสักคนหนึ่งได้เห็นตัวตนที่แท้จริงของเขา ถ้าเขาเป็นคนที่เปิดใจยอมรับมันจะเป็นสิ่งที่ดี เพราะจะเห็นสิ่งที่ไม่ดีในตัวเอง แต่ถ้าไม่เปิดใจ เขาจะทุบกระจกนั่นทิ้ง นั่นก็หมายถึงความเป็นเพื่อนพี่น้องก็จะแตกหักกันไป เพราะฉะนั้นเลยมีไม่กี่คนที่จะกล้าเอาความจริงมาเล่าให้เราฟัง ความจริงเป็นสิ่งที่ไม่น่าฟังสำหรับคนที่ไม่ยอมรับความจริง
ทำไมถึงไม่อยากให้คนไปสูบบุหรี่ในคอนเสิร์ต ?
ก้อง ห้วยไร่ : ผมเป็นคนที่แพ้บุหรี่มาก เราไม่ได้ห้ามนะ แต่ความสุขของเราไม่ใช่ความสุขของคนอื่น ลมหายใจอ่ะใครจะอยากไปให้ลมหายใจร่วมกับคนอื่น ก็ประมาณนั้นแหล่ะไม่มีอะไรหรอก แต่หลังๆหลายคอนเสิร์ตก็เริ่มทำแบบนั้นเราก็รู้สึกดีมากเลย ทุกวันนี้ไปเล่นก็ไม่ค่อยเห็นนะ ขอบคุณมากนะครับถ้าเกิดว่าพี่ๆผู้หลักผู้ใหญ่ นักท่องเที่ยวที่รู้สึกว่ามันมีคุณค่า เราใช้ชีวิตร่วมกับคนอื่นเนอะ สิ่งที่เราชอบ คนอื่นอาจจะไม่ชอบด้วย
คิดเห็นยังไงที่ปัจจุบันคนชอบใช้คำว่าเงินซื้อความสุขไม่ได้ ?
ก้อง ห้วยไร่ : คิดผิดมากเลย เงินคือตัวแปรของปัจจัย 4 เอาเป็นว่ามันมีคำหนึ่งคนอื่นเขาพูดเยอะแล้วแหล่ะ ร้องไห้ในห้องแอร์ เอาน่ะ! ถ้าทุกข์ก็ทุกข์แบบเย็นๆ มีข้าวกินก็ทุเลาได้บ้าง
มีอะไรอยากถามผมไหม ?
ก้อง ห้วยไร่ : สิ่งที่เราต้องยอมรับให้ได้ การเป็นศิลปินนักร้องที่มีคนรู้จักเยอะ ครั้งหนึ่งเคยมีจุดที่มันพีคสูงสุดในชีวิตทำอะไรก็ดีไปหมด ถ้าวันหนึ่งมีน้องๆ รุ่นใหม่เข้ามา ได้รับความสนใจมากกว่าเราเผื่อใจตัวเองยังไง
เบิ้ล ปทุมราช : อยากจะบอกว่าวันนั้นที่พี่ก้องพูดปัจจุบันผมเป็นคนนี้ คนที่ทำอะไรดีไปหมด ดีจนตกใจ คืออยากจะบอกว่าผมนอนคิดนะ ถ้าวันหนึ่งผมกลายเป็นคนแก่มีตีนกา คิดอย่างหนึ่งว่าต้องมีน้องคนหนึ่งเกิดมาให้เป็นเบิ้ลแล้ว แล้วผมจะเป็นก้องคนนั้นที่แก่มีตีนกา แล้วจะออกงานคู่กับน้องคนนั้น
ก้อง ห้วยไร่ : เบิ้ลข่มใจตัวเองได้ไหมถ้าวันหนึ่งจะต้องพักจริงๆ ไม่ได้ไปต่อ จะใช้ชีวิตยังไง
เบิ้ล ปทุมราช : ต้องมีเงินพอที่จะใช้ชีวิต มีเงินพอที่จะอยู่กับคำว่าสมัยก่อนเคยดัง มันคงถึงเวลาที่ต้องใช้ชีวิตจริงๆ แต่การใช้ชีวิตในที่นี้หมายความว่าชื่อเสียงเงินทองที่ได้มาในช่วงนั้นเราใช้แบบไหน ถ้าผมใช้แบบสะเปะสะปะคิดว่าเราดังไม่มีวันลง คือตกลงมาผมตายแน่ ผมดาวน์แน่ แต่ทุกวันนี้ผมเปรียบเสมือนการยืมสิ่งของเขามา สักวันหนึ่งก็ต้องคืน แต่เราจะคืนในสภาพไหน สภาพที่มันแหลกเหลวนอนป่วยในโรงพยาบาลไม่มีเงินรักษาไม่มีญาติพี่น้องไม่มีเพื่อนฝูงไม่มีตังค์เลี้ยงดูตัวเอง แต่ผมอยากจะคืนในสภาพที่มันดี ผมคืนชื่อเสียงให้แล้วนะแต่เงินเป็นของผม
ก้อง ห้วยไร่ : มีวันหนึ่งที่พี่เจอคำถามจากพ่อ มีปลาตัวหนึ่งจะทำยังไงให้ได้กินเยอะที่สุดนานที่สุด พี่ก็ตอบว่าเอาไปตากแห้งก็ผิด ไปแช่ตู้เย็นก็ผิด พ่อบอกว่าปลาตัวนั้นอาจจะไม่ตัวใหญ่มากแต่ว่าลองสับมันเป็นร้อยชิ้นแล้วก็ให้ทุกบ้านกิน ถึงมันจะน้อยแต่ถ้าเขาอิ่มวันหนึ่งเขาก็อาจจะให้เรากลับมา