เปิดใจแบบล้วงลึกครั้งแรก! ของ “บาร์โค้ด-ตฤณสิษฐ์ อิสระพงศ์พร” นักแสดงหนุ่มมาแรงแห่งค่าย Be On Cloud ถึงแม้จะอายุน้อยแต่บอกเลยว่าความสามารถเกินตัวมาก เผยเรื่องราวที่ไม่เคยเปิดเผยที่ไหนมาก่อน ทั้งเรื่องครอบครัว ความฝันที่อยากเป็นศิลปิน และความรักครั้งแรก เป็นคนเซนซิทีฟถึงขนาดเคยแอบร้องไห้คนเดียวไม่ให้ใครเห็น ในรายการ WOODY FM
ปีนี้อายุเท่าไหร่แล้วครับ ?
บาร์โค้ด : 19 ครับ
เข้าวงการตอนอายุเท่าไหร่ ?
บาร์โค้ด : ตอนอายุ 17 ครับ
แท้จริงแล้วความฝันอยากเป็นอะไร ?
บาร์โค้ด : ก่อนที่ผมจะเข้าวงการผมอยากเป็นศัลยแพทย์ทรวงอก ผมซึ่งหนังสือมาแล้ว 15 เล่ม ได้อ่านไหมไม่ได้อ่าน (หัวเราะ) สุดท้ายแล้วถูกจับพลัดจับผลูเข้ามาในวงการ ที่อยากทำเพราะรู้สึกว่าหัวใจมันสำคัญ อ่านหนังสืออยากที่จะเข้าเรียนหมอให้ได้ แต่ว่าสุดท้ายไม่ได้เข้า คือผมเป็นคนเรียน วิทย์-คณิต อยู่แล้ว คือตั้งใจเรียนมากเป็นคนที่ทำอะไรสุดมากๆ
เกรดประมาณไหน ?
บาร์โค้ด : 3.96 ยังไม่ 4 ครับ เหมือนจะไปติดตรงตัวศิลปะไม่ได้เข้าคาบหนึ่ง (หัวเราะ)
อยู่กับเพื่อนๆ เราคือเด็กเรียนเลยไหม ?
บาร์โค้ด : ผมอยู่กลางๆ ห้องครับ แต่เป็นกลางห้องที่เข้าได้กับทุกคน เป็นคนเรียนนะแต่เราก็เอาเวลาไปทำอย่างอื่นด้วย ไม่ใช่เนิร์ดมีเล่นบาสเล่นบอลตามประสาเด็กมัธยมปกติครับ
ยังอยากจะกลับไปเป็นหมอไหม ?
บาร์โค้ด : รู้สึกว่าเราเดินตรงนี้แล้ว ถ้าจะไปเส้นทางนั้นไม่น่าทันนะครับ ผมไม่น่าหันหลังกลับไปทันแล้ว ต้องปักหมุดใหม่ได้แล้ว เราขึ้นมาแล้วก็ไปให้สุดดีกว่าครับ
สุดที่ว่านี้คืออะไร ?
บาร์โค้ด : แค่มีความสุขกับสิ่งที่ตัวเราทำ เราผลิตผลงานดีๆ ออกมา มีเพลงดีๆ มีคอนเสิร์ตส่งความสุขให้ผู้คนได้รับชม แล้วความสุขนั้นมันก็จะวนเวียนอยู่ในโลกใบนี้ พอเราตายไปคนก็ยังฟังเพลงเราอยู่ คนก็ยังนึกถึงคนนี้อยู่ นั่นแหล่ะครับ
ทำไมคุณชอบพูดถึงการไม่อยู่บนโลกนี้ ?
บาร์โค้ด : รู้สึกว่าชีวิตมันสั้น เราอยู่กันมากสุดสำหรับผมก็น่าจะ 100 ปี มันเหมือนประสบการณ์ของผมเอามารวมกันว่าสุดท้ายแล้ว ชีวิตเรามันแขวนอยู่บนเส้นด้ายนะ สมมุติเรานั่งรถวันหนึ่งไม่รู้ว่าเราจะโดนรถชนหรือเปล่า หรือเราจะช็อกวันไหนจะเป็นลมไปวันไหน ชีวิตมีค่ามากๆ สมมุติว่าผมเจอคนๆหนึ่งก็ไม่รู้ว่าจะได้เจอกันอีกหรือเปล่า ทุกโมเมนต์ทุกวินาทีที่เราอยู่มันมีความหมายมากๆ ผมเลยรู้สึกว่าอยากใช้ให้มันคุ้มมากๆ ไม่อยากเสียไปอยากทำให้มันดีที่สุดในทุกๆ วันเลย
พี่รู้สึกว่าคุณเป็นคนที่เซนซิทีฟและค่อนข้างที่จะมีอารมณ์อ่อนไหวมากกับหลายอย่างในโลก คุณเป็นแบบนี้ตั้งแต่เด็กไหม ?
บาร์โค้ด : ตอนเด็กจำได้คือตอนที่ผมร้องไห้ทุกวันว่าเมื่อไหร่แม่จะมารับ เพราะว่ากลัวพ่อแม่ตาย ทำไมมารับสาย เพราะว่าไม่อยากเจอหน้าเขาช้า อยากเจอหน้าเขาเร็วๆ อยากรู้ว่าเขายังมีชีวิตอยู่ไหม เป็นแบบนั้นตั้งแต่อนุบาลถึง ป.2 แต่พอ ป.3 เริ่มมีเพื่อน เริ่มมีสังคมมากขึ้น เราเริ่มมีชีวิตเป็นของตัวเอง ก็เลยเลิกร้องไห้ตั้งแต่ตอนนั้น ไม่ร้องเพลงว่ามันชินขึ้น แล้วก็แอบพกโทรศัพท์ไป จริงๆโรงเรียนไม่ได้ให้เอาเข้าไปนะครับ มันทำให้ผมหายคิดถึงพ่อแม่
คุณรักพ่อแม่มากเลย เคยเสียน้ำตากับอะไรไหม ?
บาร์โค้ด : รักมากครับ กับพ่อแม่นี่แหล่ะครับ ตอนที่เราไปต่างประเทศ ครั้งนั้นเป็นครั้งแรกที่ได้ไปต่างประเทศ เรารู้สึกเสียใจ รู้สึกคิดถึงบ้าน คิดถึงพ่อแม่ แต่ว่าน้ำตานั้นเราก็ไม่ได้ให้ใครเห็นนะครับ ร้องไห้คนเดียวอยู่ในห้องน้ำ
ก่อนเข้าวงการเคยมีความรักไหม ?
บาร์โค้ด : เป็นปั้ปปี้เลิฟแล้วกัน แต่ไม่ได้คบครับ (หัวเราะ) ตอนอนุบาลเลยครับ แต่ไม่ได้คบเพราะว่าไม่มีเบอร์ครับ ชื่อก็จำไม่ได้ จำได้แค่หน้าครับ (หัวเราะ) แล้วก็ไม่ได้เจออีกเลย เป็นผู้หญิงคนหนึ่งนานมากแล้ว
ได้ข่าวว่าจะเดบิวต์ จะเป็นบอยแบนด์เหรอ ?
บาร์โค้ด : ใช่ครับ (หัวเราะ) คือเป็นความฝัน จริงๆ คือผมอยากเป็นศิลปิน ที่มีเพลงอะไรแบบนี้ครับ มีคนที่ฟังเราในสิ่งที่เราอยากจะสื่อ พอเราตายไปเพลงก็ยังติดอยู่ในใจของทุกคน
เพิ่งทราบว่าคุณไม่เคยรบกวนทางบ้านเลย เลี้ยงตัวเองมาโดยตลอด ?
บาร์โค้ด : ตั้งแต่เข้าวงการครับ คือผมเป็นคนที่ตั้งเป้าหมายเอาไว้ คือตอนผมเด็กๆไม่กล้าขอเงินพ่อแม่เพราะรู้สึกว่าสิ่งที่พ่อแม่เขาทำ เขาหาเงินด้วยหยาดเหงื่อทั้งแรงกายและแรงใจ เขาเหนื่อยมาก แต่เขาเห็นหน้าผมเขาก็มีความสุขแล้ว ผมก็เลยรู้สึกว่าเราจะต้องตอบแทนพ่อแม่ให้ได้ โดยการที่เราจะหาเงินเอง ส่งเลี้ยงตัวเองค่าเทอม หรือสิ่งที่เราอยากได้นำมาพัฒนาตัวเอง เพราะว่าไม่อยากรบกวนเงินพ่อแม่จริงๆ แล้วก็เงินก้อนแรกที่ผมได้มาตอน WORLD TOUR ประมาณ 5 แสนบาท สิ่งแรกที่ผมคิดคือซื้อเปียโนแล้วก็เอามาเล่นครับ เพราะว่าอยากเล่นมานานมากไม่ได้เล่นสักที เพราะเราไม่อยากขอเงินพ่อแม่มันแพง เอาเงินส่วนนี้มาพัฒนาตัวเอง (น้ำตาไหล)
ทำไมพูดถึงเรื่องนี้แล้วร้องไห้ ?
บาร์โค้ด : รู้สึกว่าคิดถึงตัวเองตอนนั้น แบบตั้งใจมากๆ ผมเป็นคนทุ่มเท ผมก็อยากให้อะไรมันออกมาดี สิ่งที่เป็นความสามารถจะอยู่กับเราไปตลอด ผมก็เลยเลือกที่จะเอาเงินก้อนแรกของผมไปซื้อเปียโน (น้ำตาไหล) จริงๆ ผมไม่ได้ร้องไห้นานมากแล้วนะครับ ร้องไห้ยากมาก เพราะรู้สึกว่าไม่ค่อยมีเรื่องให้ร้องไห้ เป็นน้ำตาแห่งความปิติครับขอบคุณตัวเองในวันนั้นที่ทำให้เราเก่งขนาดนี้ เราไม่ใช้เงินสุรุ่ยสุร่าย เราไม่ใช้เงินฟุ่มเฟือย ทำตัวเราให้ดีให้เก่ง แล้วก็เอาเงินไปบริจาคด้วย ผมรู้สึกภูมิใจมากๆ เลยนะที่ทำให้คนอื่นเขามีรอยยิ้ม มีความสุข อันนี้คือสิ่งที่แบบมันฟูลฟิลผมเลย