สวยไม่เปลี่ยน “นาตาลี เกลโบว่า” อดีตนางงามจักรวาล Miss Universe 2005 ล่าสุดมาอัพเดตชีวิตและเปิดใจพูดครั้งแรก! หลังแยกทางกับสามีนักธุรกิจและมีลูกสาวด้วยกัน 1 คน ตอนนี้เป็นคุณแม่เลี้ยงเดี่ยว ยอมรับสิ่งเป็นเรื่องยากที่สุดและเป็นบทเรียนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิต ในรายการ WOODY FM
ผมยังจดจำคุณในชุดว่ายน้ำและผมสีดำเข้มของคุณได้ช่วงที่ประกวด ?
นาตาลี : ใช่ ผมสีดำและผิวสีซีดและดวงตาสีอ่อน ฉันว่าคุ้มกับตลาดเอเชียจริงๆ มันเป็นความบังเอิญที่น่ายินดี
คุณมาอยู่เมืองไทยนานพอสมควรกี่ปีแล้ว ?
นาตาลี : เกือบ 20 ปี
คุณเข้าประกวดมิสยูนิเวิร์สที่จัดขึ้นในประเทศไทยเช่นเดียวกัน แล้วคุณก็ตัดสินใจเรียกที่นี่ว่าบ้านของคุณ ?
นาตาลี : ใช่ คุณจะรู้ถึงความรู้สึกนั้นเมื่อได้พบกับใครสักคนและคุณแค่รู้ว่าจิตวิญญาณของคุณเชื่อมโยงกับคนนั้นในทางใดทางหนึ่งก็รู้ทันทีว่ารักแรกพบหรืออะไรก็ตาม ฉันก็รู้สึกเหมือนกันเมื่อมาเมืองไทย เมื่อฉันก้าวลงจากเครื่องบินมันรู้สึกเหมือนว่าจิตวิญญาณของฉันกำลังจะกลับบ้าน มันรู้สึกเหมือนว่าฉันเคยมาที่นี่ในชาติที่แล้ว ฉันเองก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไร รู้สึกคุ้นเคยและสบายใจมาก ฉันจึงมีความสัมพันธ์กับประเทศไทยทันทีและคนไทยก็มีความผูกพันกับฉันเช่นกัน
พวกเขาเรื่องคุณว่า น้องฟ้า เขาเรียกแบบนั้นเพราะคุณตาสีฟ้า ?
นาตาลี : น้องฟ้า ตอนนี้เป็นพี่ฟ้า การเชื่อมต่อนี้ลึกซึ้งสำหรับฉันจริงๆ หลังจากฉันชนะ แน่นอนว่าฉันต้องกลับไปนิวยอร์กและใช้ชีวิตเป็นปี ในฐานะ Miss Universe ในทรัมป์อพาร์ตเมนต์ แล้วฉันก็กลับมาครั้งแล้วครั้งเล่าทำหน้าที่บางอย่างและปรากฎตัวที่นี่และทุกครั้งที่ฉันรู้สึกอยากกลับบ้าน ดังนั้นฉันจึงตัดสินใจว่าจะลองดู ฉันจะย้ายมาที่นี่ ฉันย้ายข้ามทวีปมาอาศัยอยู่ในประเทศไทยห่างจากครอบครัว
คุณเคยคิดถึงบั้นปลายของชีวิตบ้างไหม ?
นาตาลี : ฉันไม่คิดว่าจะเป็นรัสเซีย ฉันไม่คิดว่าจะเป็นแคนาดา อาจจะเป็นประเทศไทยเพราะฉันชอบที่นี่ และประเทศไทยได้เปลี่ยนแปลงฉันในหลายๆด้านในแง่บวก ที่ๆ ฉันอยากจะตายคงเป็นประเทศไทย ฉันคงจะมีความสุขที่ได้ใช้ชีวิตที่เหลือที่นี่และตายที่นี่
มีหลายอย่างเกิดขึ้นตั้งแต่ที่เราพูดคุยล่าสุด ผมพบคุณกับอดีตสามีและลูกสาวของคุณและนั่นเป็นครั้งแรก แต่แล้ววันนี้คุณเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยว คุณผ่านอะไรมาบ้าง ?
นาตาลี : ฉันก็แปลกใจเช่นกันเมื่อต้องทำ เมื่อฉันได้ตระหนักว่าสิ่งนี้จะไม่อยู่กันตราบชั่วนิรันด์ เมื่อเราใช้ชีวิตและเติบโตขึ้น เราเปลี่ยนแปลงไปสูงขึ้นอย่างแท้จริงบวกกับการพัฒนาจิตใจด้วย และมาถึงจุดหนึ่งเมื่อคุณเริ่มตระหนักได้ว่าการเลิกราไม่ใช่เรื่องเลวร้าย เพราะเมื่อถึงจุดหนึ่งคุณอยู่ด้วยกัน คิดว่าอยู่ด้วยกันก็ดี เลิกกันก็แย่ เราไม่ได้ถูกกำหนดให้อยู่กับคนๆเดียวเสมอไป หากอัตราการเติบโตแตกต่างกันมากที่จะพาคุณเข้าสู่ช่วงต่างๆ ของชีวิต ดังนั้นฉันจึงคิดตั้งแต่แรกแล้วว่านี่คือคนที่ฉันจะเติบโตด้วยและใช้ชีวิตที่เหลือของฉันด้วยกันกับเขา แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนจะโชคดี ดังนั้นจึงเป็นเรื่องยากสักหน่อยที่จะพูดถึงเรื่องนี้ เพราะว่านี่เป็นครั้งแรกที่ฉันพูดถึงเรื่องนี้
ผมหวังว่าคุณจะสบายดีเมื่อเราพูดถึงเรื่องนี้ ?
นาตาลี : แน่นอน ฉันพร้อมจะพูดเรื่องนี้ เพราะว่ามันเป็นเรื่องที่ค่อนข้างอ่อนไหว โดยเฉพาะเมื่อได้เห็นหน้าลูกสาวของฉัน ต้องเผชิญหน้ากับการแยกทางกันของพ่อแม่ของเธอ ฉันรู้สึกว่าเธอไม่สมควรได้รับความเจ็บปวดใดๆ นั่นเป็นส่วนที่ยากที่สุดสำหรับฉัน คือฉันอยากให้เธอมีความคิดที่มั่นคงว่าครอบครัวคืออะไร การแต่งงานคืออะไร ความรักคืออะไร และน่าเสียดายที่ฉันรู้สึกว่าไม่สามารถให้เธอได้ เพราะพ่อของเธอและฉันแยกทางกันและหย่าร้างกัน และแม้ว่าฉันจะเชื่อว่าท้ายที่สุดแล้วเราสามารถจัดหาสิ่งนั้นให้เธอได้ มันยาก มันไม่ง่ายเลย ฉันสามารถบอกคุณได้ว่าความคิดทั้งหมดของฉันเกี่ยวกับความรักและความสัมพันธ์
ซึ่งฉันกำลังเขียนหลังสือเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่ตอนนี้ หากคุณสามารถสร้างวิหารแห่งความรักในตัวคุณก่อนได้ โอบกอดตัวเองและรักตัวเองอย่างเต็มที่ คุณสามารถสร้างแบบนั้นได้โดยไม่มีเงื่อนไข วิหารแห่งความรักกับบุคคลอื่น และนั่นไม่ได้ขึ้นอยู่กับความรักนั้นไม่ว่าคุณจะอยู่ด้วยกันหรือไม่ก็ตาม คุณสามารถถูกแยกจากกันด้วยระยะทางตามสถานการณ์ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม แต่ความรักก็ยังคงอยู่ตรงนั้น คุณยังคงให้เกียรติความรักนั้นและต้องปรารถนาให้คนอื่นได้ดีและเห็นพวกเขาประสบความสำเร็จและทำสิ่งอัศจรรย์แก่พวกเขาเท่านั้น ฉันรู้สึกว่าในกรณีนี้ฉันยังพยายามสร้างวิหารแห่งความรักอยู่ 50% ส่วนที่เหลือต้องมาจากบุคคลอื่น
คุณกำลังบอกว่าคุณยังมีความรักต่ออดีตสามีของคุณใช่ไหม ?
นาตาลี : ฉันอยากจะเชื่อว่าฉันมีความรักแก่มนุษย์ทุกคนบนโลกนี้ และนั่นคือภารกิจในชีวิตของฉันคือการสามารถพูดสิ่งนั้นได้ ฉันรักมนุษย์ทุกคนบนโลกอย่างไม่มีเงื่อนไข
นี่คือความอ่อนไหวที่คุณไม่เคยรู้สึกมาก่อน ?
นาตาลี : ไม่ เพราะว่าฉันเคยผ่านการแต่งงานมาก่อนอย่างที่คุณรู้ และฉันเคยหย่าร้างมาก่อนแต่ยังไม่เคยมีลูก นี่คือชีวิตที่แตกต่างและใหม่มาก และฉันสามารถจัดการกับอารมณ์ของตัวเองได้ในระดับหนึ่ง ดีขึ้นมากกว่าตอนที่ฉันเคยทำได้ เพราะฉันโตและมีวุฒิภาวะมากขึ้นแล้ว ฉันได้เรียนรู้ ต้องรับผิดชอบอีกชีวิตอีกคนที่มีค่ามาก มันไม่ง่าย ดังนั้นฉันจึงมีสมาธิกับมันจริงๆ เพื่อให้แน่ใจว่าลูกจะไม่ได้รับผลกระทบจากมัน หรือให้กระทบน้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ การเรียนรู้ศิลปะแห่งการปล่อยวาง เคยได้ยินแนวคิดเรื่องการยอมแพ้หรือไม่ แนวคิดทางจิตใจ นั่นก็เหมือนกับการทดสอบจริงๆ ฉันจะยอมแพ้และยอมรับทุกสิ่งนั้นมาทางฉัน เป็นหนึ่งในช่วงเวลาที่ยากที่สุดในชีวิตของฉัน ซึ่งเป็นการหย่าร้างและการแยกทางกัน และผ่านมันมาได้ เหมือนกับว่าจักรวาลกำลังทดสอบฉัน ดังนั้นการผ่านอะไรก็ตามก็จะง่ายขึ้น นั่นคือบทเรียนที่ยิ่งใหญ่ที่สุด