นักแสดงสาว “ปู ไปรยา ลุนด์เบิร์ก” รีวิวชีวิตหลังแต่งงานกับสามีหนุ่มมหาเศรษฐี เผยสามีเป็นคนใจเย็นและไม่อินกับวงการบันเทิง กว่าจะมีวันนี้ได้เคยผิดหวังมาเยอะ หลังจากนี้ขอเห็นแก่ตัวบ้าง ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข อนาคตแพลนมีลูก 1 คน ในรายการ WOODY FM
การได้มีโอกาสแต่งงานชีวิตเปลี่ยนไปเยอะไหม ?
ปู ไปรยา : ตอนแรกคิดว่ามันจะเปลี่ยนเยอะนะ เพราะว่าอย่างที่รู้ มันเป็นเหมือนก้าวที่ยิ่งใหญ่มากในชีวิตเรา ตั้งแต่เด็กจนโตเวลาเขาเรียกว่าสามีภรรยามันฟังดูทางการมากๆ ปูจะเป็นคนที่ไม่ชอบสักเท่าไหร่ เพราะงั้นก็เลยอาทิตย์หนึ่งก่อนแต่งงานก็ค่อนข้างเกร็งนะ แบบจะแต่งแล้วเหรอ แต่พอวันต่อมาทุกอย่างก็เหมือนเดิม เขาเป็นเพื่อนสนิทของเรา เหมือนเพื่อนสนิทคนหนึ่งที่เข้าใจเรา แล้วพองานทุกอย่างจบลง แรงกดดันทุกอย่างจบลงก็กลับมาสู่ชีวิตปกติ
คุณเคยบอกว่าถ้าไม่ใช่จะไม่ออกโซเชียลแล้ว เพราะว่าได้บทเรียนเยอะมาก ?
ปู ไปรยา : ก็จริง ปูค่อนข้างทำให้เป็นไพรเวทนะ แต่งงานคือแบบโผล่มาเลยไม่มีใครรู้
คนนี้ก็คือดูใจกันมานานพอสมควร ?
ปู ไปรยา : จริงๆ คุยมาสักพักหนึ่งแล้วค่ะ แล้วก็เป็นเพื่อนกันมาก่อน แล้วก็คุยกันจีบกันจนก็แบบเป็นแฟนกันแล้วก็แต่งงาน เขาเป็นคนนิ่งต่างจากปู เราจะกระตือรือร้นมากกว่า เขาจะเป็นคนนิ่งๆ ชิลๆ ถ้าเปรียบปูเป็นไฟเขาจะเป็นน้ำ มันก็เลยเข้ากันได้
วินาทีไหนที่รู้สึกว่าเราพร้อมจะอยู่กับคนๆ นี้ไปนาน ๆ ?
ปู ไปรยา : เอาจริงๆ นะ ปูว่าตอนที่เขาใจเย็นกับทุกเรื่อง เขาจัดการปัญหาด้วยการที่เขาเย็น เขายืนเคียงข้างเราตลอด เขาเป็นคนที่ไม่เล่นโซเชียล เขาจะไม่อินกับวงการบันเทิงเลย ไม่มี IG ไม่มี Tiktok ไม่มีอะไรเลย นั่นก็คือประเด็นที่เขาบอกว่า เขาอยู่แบบชีวิตมีความสุข เพราะเขาไม่เคยเปรียบเทียบตัวเองกับใคร อยู่ในโลกของความจริง อยู่กับปัจจุบันมากๆ แล้วพอเราอยู่ในวงการบันเทิง จะคิดแบบ เราต้องมีคู่แบบนี้ คนที่ไม่ได้อยากเกี่ยวอะไรกับตรงนี้เลย เจอใครก็ไม่ได้ตื่นเต้น
พอเราเห็นถึงความใจเย็น ความใช้ชีวิต มันเหมือนเขาเป็นครูสอนที่ดีสำหรับเรา ปูรู้สึกเวลาเราหาคู่ เราควรเข้ากันได้ อยู่ด้วยกันได้ แต่ก็ต้องเป็นคู่ที่กล้าปะทะในวิธีที่ช่วยกันพัฒนา เช่น ไม่เห็นด้วยเรื่องอะไร เราต้องสามารถคุยกันได้ และเป็นตัวของตัวเองได้ ไม่ต้องเปลี่ยนตัวเองให้คนอื่นชอบ เราเปลี่ยนเพราะว่าโอเคมันต้องปรับตัวไปเนอะ คนเราเป็นคู่กัน มันต้องปรับตัวกันไปเรื่อยๆ แต่ถ้าเรามีคู่ที่เราคุยกันแล้วแก้ไขปัญหาในเชิงที่พัฒนาความสัมพันธ์ไม่ได้ในเชิงบวกแสดงว่านั่นไม่ใช่คู่เรา ซึ่งปูกับเขาสามารถคุยกันได้ตลอด
เรื่องของการมีลูกมีครอบครัวก็คุยกันหมดแล้ว ?
ปู ไปรยา : คุยนะคะ ใช่ว่าความสบายใจทั้งคู่เป็นยังไง ว่าถ้ามีแล้วจะอยู่ประเทศไหน จะใช้ชีวิตยังไงก็คุยกัน ปูเป็นคนค่อนข้างชอบวางแผน แต่เหตุผลก็เพราะว่าทุกอย่างคือการสื่อสาร บางทีคนเรามีปัญหากันก็เพราะว่าไม่สื่อสาร
เรื่องการมีลูก ?
ปู ไปรยา : ตอนแรกในชีวิตคิดว่าไม่ได้จริงๆแล้ว เมื่อก่อนไม่เคยอยากมี แต่ในวันนี้อยากมีเพราะว่าตั้งใจไว้แล้ว เจตนาที่อยากมี เพราะปูมองว่ามันคงเป็นสิ่งที่เศร้าถ้าเราไม่ได้มีประสบการณ์นี้ในชีวิต เหมือนปูเกิดมาไม่อยากมองกลับไปว่า อายุ 85 แล้ว ไม่เคยมีประสบการณ์การเป็นแม่หรือได้เลี้ยงคนๆหนึ่ง แล้วปูก็คิดว่าที่ผ่านมาไม่อยากมี เพราะปูลำดับความสำคัญ มองว่าอาชีพเราสำคัญที่สุด ปูมองว่าการเอาตัวรอด การแข่งขันมันคือสิ่งที่สำคัญ ตัวเขาเองก็เหมือนกันจริงๆ เขาก็อายุเยอะกว่าปู 12 ปี เขาก็โสดมาโดยตลอด ก็เหมือนกันเป็นคนที่มีวินัยในการทำงานสูง ตรงนี้เราเหมือนกันมาก เราคุยกันรู้เรื่องมากว่าเขาบ้างาน ปูก็บ้างาน แต่เรา 2 คนก็พูดกันว่าสิ่งเดียวที่เราขาดตอนนี้ในชีวิตคืออะไร คือการที่เอาคุณค่าประสบการณ์ บทเรียนทุกอย่างที่เรามีในชีวิต มาสอนมนุษย์เล็กๆคนหนึ่ง แล้วปูไม่ได้คิดว่าจะมี 3 4 5 คน ไม่! คนเดียวก่อนค่ะ ก็เป็นสิ่งที่วางแผนไว้ในอนาคต แต่ไม่ใช่ในเร็วๆนี้
อะไรสำคัญที่สุดสำหรับคุณในตอนนี้ ?
ปู ไปรยา : ตอนนี้คือความสุข เพราะว่าสุดท้ายแล้ว ครั้งล่าสุดที่เราเจอกัน เป็นช่วงที่ปูโดนคราวนั้น ระแวงมาก แต่ปีนี้เป็นปีที่แบบไม่รู้อะไรเกิดขึ้น เหมือนหลังบทสัมภาษณ์เราไม่ค่อยสนใจแล้ว ใครจะพูดอะไร พูดไปเลยไม่สนแล้ว เพราะฉะนั้นสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับปูตอนนี้ คือการใช้ชีวิตแบบมีความสุข และความสุขนั้นคือการไม่เป็นคนชอบเอาใจคนอื่นอีกแล้ว เมื่อก่อนใครขออะไรปูทำหมดเลยพี่วู้ดดี้ เพราะไม่อยากดูเป็นคนไม่ดี เพื่อนก็เยอะเหลือเกินเมื่อก่อนเป็นฝูงเลย แต่เอาใจทุกคนไม่ว่าเหนื่อยแค่ไหนก็ไปกินข้าวด้วย เพราะกลัวว่าเขาจะไม่ชอบเรา กลัวว่าเขาจะพูดลับหลัง
ตอนนี้ไม่สนใจแล้วจริงๆ เอาตัวเองมีความสุขเพราะมันไม่ผิด การที่เลือกความสุขของตัวเอง พอเราอายุเยอะขึ้น เราให้คุณค่าการแทนที่มันเป็นจำนวน ไม่ต้องมีเพื่อนเยอะ 10 คนเจอกันปีละ 20 ครั้ง แต่มีเพื่อนไม่กี่คน แล้วเจอกันทีทานข้าวกัน 5 ชั่วโมงแล้วคุยกันเรื่องที่ดีต่อใจจริงๆ อันนั้นนะเป็นสิ่งที่ปูให้ความสำคัญ แล้วทุกวันนี้เมื่อก่อนปูก็จะให้คุณค่ากับอะไรไม่รู้มั่วไปหมด แต่ตอนนี้สำหรับปูคือไม่ งานที่ดีต่อใจ มีคุณค่ากับเราจริงๆ ปูจะถามตลอด ไปแล้ว ไปบ่อยมันก็ช้ำเราจะไปทำไม เหนื่อยก็เหนื่อยเพื่ออะไร แต่ถ้าเป็นงานที่น่าสนใจ โอเค มันเป็นความท้าทายใหม่อยากทำ ตอนนี้ทุกอย่างคือจะบอกว่าเป็นยุคเอาแต่ใจของไปรยาก็ได้ เพราะปูอยากจะบอกว่า
ผู้หญิงหลายคนรู้ไหมทำไม ผู้หญิงจะเป็นโรคแพ้ภูมิตนเองมากกว่าผู้ชายนะ เพราะว่าผู้หญิงเราถูกแรงกดดันในสังคมเยอะมาก ต้องเป็นแม่ที่ดี ต้องทำงานที่ดี ต้องสวยตลอดเวลา ต้องไม่แก่ ต้องไม่ใช้อารมณ์ ผู้หญิงบางทีไม่ผิดที่เลือกตัวเอง ปูเลยบอกว่า ผู้หญิงบางทีไม่ผิดที่จะเลือกตัวเอง เอาแต่ใจบ้างก็ได้ ไม่ผิดถ้าเราจะปฎิเสธ แล้วช่วงหลัง เรารู้สึกว่ามันทรงพลังในการบอกว่า ไม่ค่ะ ไม่เป็นไรค่ะ ปูขอผ่านก่อนแล้วกัน อันนี้ไม่ทำค่ะ แล้วรู้ไหม ปูจะบอกเคล็ดลับอะไร ทุกครั้งที่เราปฎิเสธอะไรสักอย่าง เรากำลังตอบรับสิ่งอื่นไปด้วย ทุกครั้งที่คุณปฎิเสธในสิ่งที่มันไม่ใช่ สิ่งที่มันใช่ จะมีโอกาสเข้ามา