ยังสวยยังแซ่บไม่สร่างจริง ๆ สำหรับนักแสดงสาวเจ้าบทบาท “น้ำผึ้ง – ณัฐริกา ธรรมปรีดานันท์” ล่าสุดออกมาเปิดใจแบบหมดเปลือกในรายการ WOODY INTERVIEW ถึงเรื่องราวในอดีตที่เคยติสท์หนักถึงขั้นนั่งรถเมล์ไปดูศพเพื่อปลงชีวิตที่ศิริราช และเคยสูญเสียครั้งใหญ่เป็นซึมเศร้าจนต้องพบจิตแพทย์ แต่ก็ผ่านมาทุกอย่างมาได้เพราะใช้ธรรมะเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ
ชีวิตเป็นยังไงบ้างตอนนี้ ?
น้ำผึ้ง : ตอนนี้ดีนะ มันลงตัว เหมือนแก่ขึ้นแล้วจิตวิญญาณมันเติบโตขึ้น สบายตัวขึ้น
แต่ก่อนหน้านี้ก็รู้สึกว่าน้ำผึ้งมีความสบายตัวในการใช้ชีวิตมาเป็น 10 ปีแล้วนะ อยากทำอะไรก็ได้ทำ ไม่อยากทำก็ไม่ทำ เหมือนชีวิตเลือกได้ ?
น้ำผึ้ง : ใช่ แต่มันเจอวิกฤตไง สัตว์ที่เราเลี้ยงถึงช่วงแก่แล้วมันจะตายเรื่อยๆ เลยได้เจอกับความเกิดแก่เจ็บตาย ได้เจอมาในช่วงอายุ 40 กว่า เรียงกันเลย เราก็เลยมีความทุกข์
ไม่มีอะไรแน่นอน เราเองก็ไปได้ทุกเมื่อ ดังนั้นกับคนที่ยังเหลืออยู่ในชีวิตเราก็ต้องให้เวลากับเขามากขึ้น ?
น้ำผึ้ง : จริง อยู่ดีๆเดินไปกราบเท้าคุณแม่ แม่ตกใจเลยอ่ะ แบบว่าไม่เคยเจอแบบนี้ แต่เรารู้ว่ามันไม่แน่นอนจริงๆ ครั้งนี้อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายก็ได้ ก็เลยกล้าทำอะไรที่ไม่เคยทำมาก่อน
สิ่งที่หลายคนไม่ทราบก็คือน้ำผึ้งมีการสูญเสียครั้งใหญ่ติดต่อกัน ทำให้เกิดเป็นซึมเศร้าไปเลย ?
น้ำผึ้ง : ใช่ค่ะ ลูกรักจากไปทีละตัวๆ รวมกัน 6-7 ตัว ทั้งแมว ทั้งหมา ทั้งกระต่าย ต้องปรึกษานักจิตวิทยา แล้วเราบอกเขาว่าเราจะต้องเข้มแข็ง เขาก็บอกว่าคุณน้ำผึ้งพูดคำว่าเข้มแข็งบ่อยมาก แต่เขาบอกว่าบางทีไม่ต้องเข้มแข็ง อ่อนแอบ้างก็ได้ ขอความช่วยเหลือจากคนอื่นบ้างก็ได้ เราก็เลยหายเข้มแข็ง เริ่มขี้อ้อน ขอความช่วยเหลือคนอื่นว่าช่วยปลอบใจเราหน่อยนะเรากำลังเศร้า แล้วเขาก็บอกว่าให้เราอยู่กับปัจจุบัน แล้วไปทำสิ่งที่เราทำแล้วมีความสุข น้ำผึ้งก็เห็นว่าสิ่งที่มีคุณค่าก็คือไปช่วยเหลือผู้ป่วยมะเร็งกล่องเสียงที่เขาไม่ได้กลิ่นอีกแล้วในชีวิต เพราะว่าเขาตัดกล่องเสียงไปทำให้พูดไม่ได้และไม่ได้กลิ่น น้ำผึ้งไปช่วยกองทุนของผู้ป่วยมะเร็งกล่องเสียง ทำให้เขากลับมาได้กลิ่นอีกครั้งทั้งกลุ่มเลย ไปทำกับคุณหมอ รพ.ศรีนครินทร์ ซึ่งยังทำต่อเนื่องทุกปีค่ะ
ถือว่าเป็นบุญที่ใหญ่หลวงมาก
น้ำผึ้ง : โชคดีมากเลย เหมือนเราจะช่วยเขานะ แต่จริงๆ เขาช่วยเรา เขาช่วยให้เรารู้สึกแบบน้ำผึ้งร้องไห้เลย รู้สึกว่าตายได้แล้วอ่ะ นี่แหล่ะคุณค่าของชีวิตที่เราทำมากที่สุดในศักยภาพที่เรามี
เริ่มจากการที่เราสูญเสียสัตว์เลี้ยง แล้วมีปัญหาทางจิตเวชตามมา เท่าที่คุยกับนักจิตแพทย์มันเกิดขึ้นได้ยังไง ?
น้ำผึ้ง : มันก็คืออุปทานการยึดติด มองเห็นว่าเขาเป็นลูกคิดว่าเขาเป็นลูกขึ้นมาจริงๆ มันจะต้องไม่ตาย ต้องได้รับการรักษาอย่างดี แต่เราไม่รู้ว่าทุกอย่างมันเกิดแก่เจ็บตาย แล้วมันก็ทยอยตาย เราก็เลยรับไม่ได้ ก็เลยเป็นซึมเศร้า เวลามาทำงานจะไม่มีใครรู้เลย เหมือนในใจมันร้องไห้ตลอดเวลา แต่ว่าข้างนอกเราแฮปปี้ สักพักหนึ่งมันก็จะทนไม่ได้เพราะว่าเราไม่ได้เข้มแข็งตลอดเวลา จะเป็นเก็บกด ก็เลยต้องไปปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ
ยังเลี้ยงสัตว์อยู่ไหม ?
น้ำผึ้ง : ก็ยังเลี้ยงอยู่ค่ะ แต่ว่าทุกวันนี้บางตัวที่ป่วยมากๆเหมือนจะ ICU แบบนี้เราก็ทำใจได้แล้ว อยู่ด้วยกันไปก็พยายามอุ้มเขาบ่อยๆ วันที่เขาไม่อยู่เราจะได้ไม่ต้องเสียใจ
เราได้เรียนรู้และได้เตรียมใจไว้ไหมสำหรับมนุษย์ ที่จะจากชีวิตเราไป ?
น้ำผึ้ง : โอ้โห! คือก็เตรียมใจเพราะคุณพ่อคุณแม่ก็แก่มากแล้ว แล้ววันหนึ่งก็คงจะตาย คือไม่ได้แช่งนะคะ เราคงจะต้องได้รับโทรศัพท์อะไรที่เป็นข่าวร้ายสักวันหนึ่ง แต่ว่าอันนี้เป็นสอบใหญ่ของน้ำผึ้ง ต้องฟังท่านพระพุทธทาสให้เยอะกว่านี้ ช่วงนี้ก็ต้องนั่งสมาธิมากขึ้นค่ะ ตอนแรกมันจะเป็นทฤษฎีที่เราฟังแต่ตอนหลังก็ต้องจิตว่าง แล้วเวลาที่เกิดการสูญเสียขึ้นมาจริงๆ เราจะได้ไม่ต้องเอาตัวเราไปผูกอะไรมากๆ ขนาดนั้น แต่ว่าเราก็ยังรักนะเพียงแต่ว่าเห็นเกิดแก่เจ็บตาย แล้วก็ปล่อยวางมีความสุขต่อได้ง่ายขึ้น
ใช้ธรรมะกับความสัมพันธ์และความรักด้วยไหมครับ ?
น้ำผึ้ง : ด้วยค่ะ ใช้ในชีวิตด้วยค่ะ เหมือนอย่างตอนแรกพี่เป้กลับบ้านช้า เราก็แบบทำไมกลับบ้านช้า เราก็เตรียมอาหารไว้ให้นั่นโน้นนี่ สักพักหนึ่งเราก็คิดว่า อ๋อ! ในใจคิดไปแล้วเราอยากให้เขามา ทั้งๆที่จริงๆแล้วมันไม่แน่เขาอาจจะติดธุระ เราก็เลยหายตรงนั้นไป พอใจเริ่มคิดเราก็ตัดตรงนั้น ช่างมันเดี๋ยวเขาก็มา แล้วทุกอย่างมันก็ไม่โกรธ กลายเป็นเราไม่ค่อยโกรธคนอื่น จะเป็นอะไรที่ดีมากๆถ้าเราไม่โกรธ
อยากมีลูกไหม ?
น้ำผึ้ง : เคยอยากนะคะ แต่ว่าตอนนี้ไม่มีก็ดี ไม่มีก็สบายตัวไปอีกแบบหนึ่งเหมือนกัน
ทุกครั้งที่พูดถึงน้ำผึ้งทุกคนจะบอกว่าเขาเป็นคนติสท์นะ ทุกวันนี้ยังติสท์อยู่ไหม และสมัยก่อนคุณติสท์ขนาดไหน ?
น้ำผึ้ง : (หัวเราะ) ก็ยอมรับว่าติสท์นะคะ แต่ว่าไม่ติสท์แตกนะ เวลาทำงานก็ทำงานให้เต็มที่ เวลาที่ทำงานเสร็จเราจะลอกคราบนักแสดงออกไปเลย แล้วเคยรู้ว่าไอน์สไตน์มีเสื้อแค่ 7-8 ตัวที่เป็นชุดเดียวกันเพราะว่าเขาจะได้มีสมองไว้คิดเรื่องปรัชญาอะไรของเขา เราก็เลยเป็นแบบอย่างนั้นเราก็ต้องใส่ชุดเดียวกันเลียนแบบเขา มีเสื้อแบบเดียวกัน 8 ตัว รองเท้าแบบเดียวกัน วันๆ ก็ใส่แบบนั้นไปกองถ่าย จนคนเขาก็แบบน้ำผึ้งมีชุดเดียวเหรอ แล้วเวลาไปงานบางทีมันก็มากเกินไป น้ำผึ้งก็เริ่มไม่ใส่ส้นสูง เริ่มใส่แตะแต่ไม่ใช่แตะคีบขนาดนั้นนะคะ ไม่ค่อยเอาชุดที่มันเป็นดารามาก เริ่มทำอะไรที่มันไปนั่งรถเมล์อะไรแบบนี้ มีคนขับรถให้นั่งก็ไม่นั่ง ไปนั่งวิน เอาให้มันเต็มที่เพราะว่าเคยได้ยินท่านพุทธทาสพูดว่า “เป็นอยู่อย่างต่ำ มุ่งกระทําอย่างสูง” เราก็เลยเอาให้มันติดดินที่สุด แล้วก็นั่งรถเมล์ไปดูศพที่ศิริราชด้วยเพื่อที่จะปลง ตอนนั้นเป็นช่วงที่อ่านปรัชญาเยอะมาก แล้วก็หมกตัวเองอยู่ในห้อง ไปดูชีวิตจริงหลังจากทำงานมันคนละขั้วกันไปเลย ก็เลยถือว่าตรงนั้นแหล่ะคงเป็นติสท์ อยากทำอะไรก็ทำจริงๆ
แต่ว่ามนุษย์เรามีหลายมิตินะในความเป็นจริง เราสามารถสวมบทบาทได้อีกมากมาย เพราะชีวิตก็คือการละคร ?
น้ำผึ้ง : ไม่จำเป็นต้องกระทำเป็นอยู่อย่างต่ำตลอดนะ จะเป็นอย่างกลาง อย่างสูง เราก็ทำอย่างสูงได้ รูปแบบกับสาระ รูปแบบมันก็เป็นแค่รูปแบบแหล่ะจะรวยจนหรืออะไร แต่ว่าข้างในสาระมันคืออะไร ก็ทำให้เราอยู่เหนือรูปแบบไปเลย เป็นอะไรก็ได้