รายการ WOODY EXCLUSIVE ต้อนรับหนุ่มๆสุดฮอต วง BUS ทั้ง 11 คน อาทิ มาร์ค กฤษณ์ , ขุนพล ปองพล , ฮาร์ท ชุติวัฒน์ , จินวุค คิม , ไทย ชญานนท์ , เน็กซ์ ณัฐกิตติ์ , ภู ธัชชัย , คอปเปอร์ เดชาวัต , เอเอ อชิรกรณ์ , จั๋ง ธีร์ , ภีม วสุพล เปิดใจแบบล้วงลึกถึงตัวตน การเปลี่ยนแปลงตลอด 1 ปี และความสัมพันธ์ของคนภายในวง BUS
อะไรที่คุณให้ความสนใจมากในตอนนี้ ?
จินวุค : การทำไทยแลนด์ทัวร์ครับ คือเราจะมีการจัดแฟนคอนฯ 5 จังหวัด ช่วงนี้พวกเราก็จะอยู่งานนั้นเป็นหลัก ทุกอาทิตย์ก็จะต้องขึ้นไปคอนเสิร์ตแล้ว อีกอาทิตย์เราก็ต้องมีการปรับโชว์ใหม่เพื่อให้มันเฟรช ให้คนดูเห็นอะไรใหม่ๆแล้วก็จะได้ไม่เบื่อด้วย และสนุกกับโชว์ของพวกเรา พอได้เพอร์ฟอร์มมาแล้วทั้ง 4 ที่เราก็จะอินกับตัวเองประมาณหนึ่ง คอยดูในโซเชียลที่เราโชว์ไปเป็นยังไงบ้าง วันๆ ดูคลิปตัวเองเยอะมาก แฟนคลับเขาคอยถ่ายลงกันเยอะมาก
สิ่งแรกที่ตื่นนอนคือ ?
ฮาร์ท : สวดมนต์ ครับ สมมุติว่าเรามีความเชื่อในตัวเองที่แบบลังเล เป็นคนลังเล แล้วคนเรามักจะต้องหาที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ คือวันไหนที่รู้สึกว่าวันนั้นเป็นวันที่จำเป็นมากๆ ที่วันนั้นจะต้องเป็นวันที่ดี เช่น วันที่เราเดบิวต์ ฮาร์ทจำได้เหมือนกันว่าวันที่เราเดบิวต์คือเราตื่นมาแล้วสวดมนต์ แล้วก็ขอให้วันนั้นเป็นวันที่ดี เหมือนเราโน้มน้าวตัวเองไปเรื่อยๆ ว่าวันนี้คือวันที่ดี วันนั้นก็เป็นวันที่ดีจริงๆ
ชอบอวัยวะส่วนไหนในร่างกาย ?
มาร์คคริส : คิดว่าตาครับ เป็นอวัยวะสำคัญในการสื่อสารกับคนอื่น หมายถึงในการพูดคุยด้วย การพูดคุยด้วย การมองตาเป็นสิ่งที่ทำให้เรารู้ว่า คนสนใจเรานะ ในตอนทำการแสดงด้วย ถึงแม้เขาอาจจะไม่ได้มองไม่ได้สบตาเราตรงๆ แต่ว่าการที่มองเข้าไปในตาจะทำให้เขารับรู้ถึงอารมณ์ที่เราต้องการจะสื่อ เมื่อก่อนจะไม่กล้าสบตา แต่ตอนนี้กล้าสบตาคนมากขึ้น
คำพูดติดปากของตัวเราเอง ?
ภู ธัชชัย : เฟรนด์!! คือเราเจอเพื่อนทุกวันไง เราซ้อมด้วยกันทุกวัน แล้วเจอกันบ่อยมันก็เลยกลายเป็นคำติดปากเวลาเราเรียกเพื่อน โย่ว! เฟรนด์ อะไรแบบนี้ครับ บางทีมาเจอเพื่อนก็ทักทายกัน ด้วยความที่เราอยู่ด้วยกันทุกวัน เจอกันทุกวันอยู่แล้ว เลยเป็นคำที่ผมได้ใช้ทุกวัน พูดทุกวันครับผม
ในบรรดากลุ่มแชทของเราคิดว่าใครในวงที่ชอบไม่ตอบ ?
เอเอ : คือบางครั้งก็ไม่ได้มีความคิดเห็นก็เลยไม่ได้ตอบ เพราะว่าเป็นคนที่จะตอบอะไรเมื่อมีความคิดเห็นจริงๆ ถึงจะตอบ
ตลอด 1 ปี เห็นการเปลี่ยนแปลงอะไรบ้างในตัวเอง ?
คอปเปอร์ : รู้สึกว่าตัวเองโตขึ้นครับกว่าวันแรก รู้สึกกล้าทำอะไรมากขึ้นกว่าปีที่แล้วครับ มีความมั่นใจมากขึ้น
จินวุค : อย่างแรกคือประสบการณ์เยอะขึ้นมากๆ ได้เจอกับโลกความเป็นจริงมากขึ้น ถ้าในแง่ความสามารถก็รู้สึกว่าพัฒนาขึ้น ทั้งเดี่ยวทั้งวงครับ ในแง่วงพวกเราก็ซ้อมด้วยกันมาจนรู้สึกว่าจากวันแรกๆที่เดบิวต์มีบางอย่างไม่ซิงค์กัน กว่าจะซ้อมอะไรไปได้มันคงใช้เวลามากกว่านี้ แต่ทุกวันนี้รู้สึกว่าพวกเราซิงค์กันมากขึ้นแล้วก็ไปต่อได้รวดเร็วขึ้น เดี่ยวๆก็รู้สึกว่าทุกคนรวมถึงผมด้วย ทั้งเรื่องการแต่งแรปหรือสกิลส่วนตัวก็มีความพัฒนาในแง่ภาษา การพูดของตัวเองถ้าเทียบกับวันแรกที่เดบิวต์มาตอนนั้นยังตื่นเต้นในการพูด แต่ทุกวันนี้ผมกล้าไปไหนคนเดียวแล้ว กลัาไปออกความคิดเห็นของตัวเองในที่ไหนได้ แบบยืนคนเดียวพูดได้
ภีม วสุ : รูปร่าง หน้าตา ร่างกาย ความคิด การพูด คำพูด ปีที่แล้วเราอยู่ในช่วงที่เป็นวัยรุ่นพอดี ปีนี้ผมโตขึ้น 18 ปีแล้วเป็นผู้ใหญ่ขึ้น ถึงผมจะเด็กสุดแต่รู้สึกว่าตัวเองโตขึ้นเยอะมากในเรื่องรูปร่างหน้าตานะ และความคิด ปีที่แล้วผมยังเป็นเด็กฝึกที่ยังไม่ได้เป็นศิลปิน ยังไม่รู้ว่าการทำงานจริงๆ ว่าอะไรมันเป็นยังไง แต่ว่าปีนี้ผมมีความคิดหลายอย่างที่ผมว่ามันดีเกี่ยวกับการทำงานหรือการใช้ชีวิต ต้องขอบคุณที่นี่ด้วย ขอบคุณพี่ย้งที่สอนอะไรหลายๆอย่าง สอนเราในการเป็นศิลปินยังไงได้บ้าง ซึ่งทำให้ผมมีความคิดที่ดีขึ้นเกี่ยวกับการทำงาน ซึ่งก่อนหน้านี้ผมเป็นคนที่พูดเก่งอยู่แล้ว พูดเยอะ พูดมาก แต่บางทีพอมาพูดอะไรแบบนี้มันตื่นเต้นจับจุดไม่ค่อยได้ หลุดประเด็น แต่ตอนนี้ผมจับจุดการพูดได้มากขึ้น พูดจากความรู้สึกเก่งขึ้น
เน็กซ์ : ผมไม่พูดถึงเรื่องร่างกายแล้วกัน เพราะมันก็โตขึ้นในทุกๆปีอยู่แล้ว แต่ผมมีความคิดอะไรที่เข้าใจโลก เป็นผู้ใหญ่มากขึ้น
เอเอ : ก่อนหน้านี้จะเป็นคนที่ค่อนข้างคุยไม่เก่ง จะตื่นเต้นทุกครั้งที่ต้องทำอะไรเกี่ยวกับการคุย การเจอคนดู แต่หนึ่งปีที่ผ่านมารู้สึกว่าพอได้มีประสบการณ์ขึ้นเวที หรือว่ามาออกรายการบ่อยๆ มันก็เริ่มชินกับการมาอยู่บนที่แบบนี้ เริ่มตื่นเต้นน้อยลง
ฮาร์ท : 1 ปีที่ผ่านมา ฮาร์ทรู้สึกว่านอกเหนือจากเรื่องความสามารถที่เราพัฒนากันทุกคนอาจจะสามารถเห็นได้จากตอนที่ไปดูโชว์ต่างๆ ผมรู้สึกว่าเรื่องที่คนอาจจะเห็นได้ไม่ชัดขนาดนั้น คือเรื่องของความสัมพันธ์กันเองภายในวง รู้สึกว่าในหนึ่งปีที่ผ่านมาเราผ่านอะไรด้วยกันมาเยอะมาก เรามีความเป็นกลุ่มเป็นก้อนมากขึ้น แล้วไม่ใช่แค่ 12 คนเป็นกลุ่มเป็นก้อน เราเหมือนจับเป็นคู่ๆ ในแต่ละคนก็สนิทกันมากขึ้น ไว้ใจกันมากขึ้น ในมุมมองผมเห็นชัดว่ามันดีขึ้นจริงๆ ครับ ถ้าในมุมของตัวผมเองรู้สึกว่า 1 ปีที่ผ่านมาโตขึ้น เป็นผู้ใหญ่มากขึ้นเยอะ ตอนนี้ผมสามารถดูแลตัวเองได้ ดูแลน้องสาวได้ แบ่งเบาภาระให้ครอบครัวได้เยอะขึ้นมากๆ
จั๋ง ธีร์ : ผมมีความสุขมากขึ้นแล้วกันครับ ถ้าเทียบกับ 1 ปีที่แล้ว ซึ่งปีที่แล้วก็เหมือนเป็นช่วงที่ทั้งในรายการที่แข่งขันด้วย ทั้งความไม่แน่นอนในหลายๆ อย่าง มันเป็นจุดเปลี่ยนของกราฟอยู่ว่าจะไปทางไหน รู้สึกว่าปีนี้มีความสุขมากขึ้น ทุกๆอย่างเหมือนกำลังลงตัวไปในทางที่ดีมากขึ้น เรื่องทั้งความสัมพันธ์ด้วย เราทุกคนก็มีความสัมพันธ์ที่ดีกันมากขึ้น และได้เป็นตัวเองมากขึ้นด้วย กล้าที่จะพูด กล้าที่เล่นอะไรตลกๆที่เป็นตัวเองได้ ในทุกเรื่องมันทำให้ผมมีความสุขมากขึ้น และเราโตขึ้นเยอะมากเจออะไรหลายๆอย่างมาด้วยกัน และจัดการความรู้สึกตัวเองได้เก่งมากขึ้นด้วย
มาร์คคริส : รู้สึกว่าตัวเองมีเป้าหมายมากขึ้น เริ่มค้นหาตัวเองแล้วว่าอยากพาตัวเองไปในทิศทางไหน อยากทำอะไรในอนาคต ถึงแม้ตอนนี้ยังไม่ได้แน่ใจ 100% แต่คิดว่าสักวันหนึ่งก็อาจจะไปตามทางเราเหมือนกัน หมายถึงอาจจะทำทั้งสองอย่างในด้านเดียวกัน เป็นศิลปินด้วยแล้วก็อาจจะทำอะไรอีกสักอย่างหนึ่ง แล้วคิดว่าตัวเองก้โตขึ้นในหลายๆด้านด้วย ทั้งเรื่องเรียนและเรื่องงานที่ทำอยู่ตอนนี้ ค่ายที่สอนให้เราออกความคิดเห็นในทุกๆเรื่องเลย เลยรู้สึกว่าเราไม่ได้เป็นศิลปินที่ทำตามที่คนอื่นบอกอย่างเดียว เรามีการออกความคิดเห็นตลอดเวลา เรามีความฝันที่ทำงานอยู่ในตอนนี้ด้วยแล้วก็คิดถึงอนาคตเรามากขึ้นด้วยเหมือนกัน
ไทย : ที่รู้สึกเปลี่ยนแปลงกับตัวเองจริงๆ เป็นเรื่องการจัดการ ในการทำงานทุกๆ อย่าง ไม่ว่าจะเป็นการเรียนหรือการทำงาน ผู้รู้สึกว่าการจัดการสำคัญ ปีที่แล้วที่ยังอยู่ในรายการเรายังจัดการในเรื่องการทำงานกับการเรียนไม่ค่อยได้ พอผ่านมา 1 ปีมันทำให้เรามองปัญหาออกและรู้วิธีแก้มากขึ้น
ขุนพล : คล้ายๆเพื่อนครับ รู้สึกว่าตัวเองโตขึ้น มีความเป็นผู้ใหญ่ขึ้น เวลาเจอปัญหาอะไรถ้าเป็นแต่ก่อนจะเครียดมากแล้วไม่พูดด้วย แต่ปีนี้พอผ่านอะไรมา เจอผู้คนหลายรูปแบบ เจอพี่ย้ง และรายการ 789 Survival ที่สอนเรามา การแก้ปัญหาเราต้องมีสติ ต้องใจเย็นก่อน แล้วก็ปล่อยวางอะไรบางอย่าง พอเราตั้งสติแล้วนั่งเงียบๆ สักพักแล้วลำดับมันได้ เราแก้ปัญหาได้ ทุกอย่างมันมีทางออก มีวิธีแก้ปัญหา ถึงแม้ว่าสุดท้ายผลลัพธ์มันจะไม่ได้จบแบบแฮปปี้ตลอด แต่ก็จะมีผลลัพธ์ที่โอเคสำหรับปัญหานั้น พอเราจัดการกับปัญหาได้ สิ่งหนึ่งที่ตามมาคือความสุข ผมรู้สึกว่า 1 ปีที่ได้ทำงานได้เจอเพื่อนๆ ในวงที่ได้เดบิวต์มา รู้สึกตัวเองหาวิธีที่จะสนุกกับการทำงานมากขึ้น
ภู ธัชชัย : รู้สึกว่าได้เป็นตัวเองมากขึ้น แล้วก็ Open มากขึ้น เรียนรู้อะไรมากมายในวงการ ผมรู้สึกว่าหนึ่งอย่างเลยที่ผมเห็นตัวเองชัดขึ้น คือ เห็นเส้นทางในชีวิตผมชัดขึ้น ตลอด 1 ปีที่ผ่านมาผมได้รู้จักคนมากขึ้น ได้รู้จักรุ่นพี่ ได้รู้จักผู้ใหญ่ในวงการมากขึ้น บางทีได้แลกเปลี่ยนความคิดกับเขา บางคนเขาผ่านวงการนี้มานานแล้ว พอเราไปแลกเปลี่ยนความคิดกับเขา เราก็ได้ประสบการณ์ในส่วนนั้น อารมณ์เหมือนมีคนไกด์ครับ ว่ามันจะมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง ซึ่งเขาก็จะมีเส้นทางที่ดีเราก็สามารถนำจุดนั้นมาใช้ได้ คือผมเป็นคนที่ชอบแพลนชีวิต ชอบนึกล่วงหน้าไปตลอดพอได้รู้จักคนมากขึ้น ก็ได้ไอเดียที่นำมาผสมผสานกันได้ รู้สึกว่าเป็นข้อดีของการอยู่ตรงนี้ที่ได้เจอคนมากขึ้น